top of page
Writer's pictureTHAINZ

เมืองในฝันที่ชาวกีวีอยากย้ายไปที่สุด

จากการศึกษาพบว่า เมืองในฝันที่ชาวนิวซีแลนด์ต้องการย้ายไปมากที่สุดคือ บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย


เหตุผลที่ชาวนิวซีแลนด์ต้องการย้ายไปบริสเบนนั้น อาจเป็นเพราะความใกล้เคียงกันของวัฒนธรรมและค่านิยม รวมไปถึงสภาพอากาศที่อบอุ่นและโอกาสในการทำงาน


ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาจากการค้นหาออนไลน์ของทั่วโลก เผยว่า "ดูไบ" เป็นมหานครที่ได้รับความนิยมสูงสุด ที่มีผู้คนจากมากกว่า 60 ประเทศ ต้องการย้ายไปอยู่มากที่สุด โดยใช้ข้อมูลการค้นหา Google ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาสำหรับคำค้นหา "ย้ายไปอยู่"

ส่วนเมืองยอดนิยมที่ชาวนิวซีแลนด์ต้องการย้ายไปอยู่มากที่สุด คือ "บริสเบน" มีเพียงชาวนิวซีแลนด์เท่านั้นที่ต้องการย้ายไปที่นี่


ในหมู่ชาวซามัว และหมู่เกาะคุก นิยมค้นหาคำว่า "คริสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์" มากที่สุด


มีหลายเหตุผลที่ผู้คนมองหาการย้ายถิ่นฐาน รวมถึงโอกาสการจ้างงาน สภาพอากาศที่ดีขึ้น หรือความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม


ในแปซิฟิก ประเทศต่าง ๆ 5 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ฟิจิ ตองกา หมู่เกาะโซโลมอน และวานูอาตู ต่างก็สนใจที่จะย้ายไปดูไบ

“ดูไบเป็นผู้ชนะอย่างชัดเจนในการศึกษาของเรา และด้วยโอกาสการจ้างงานมากมายและข้อดีด้านวิถีชีวิต ประกอบกับสภาพอากาศ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไม"


  • อันดับที่ 1 Dubai (ผู้คนจาก 60 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Dubai)

  • อันดับที่ 2 Miami (ผู้คนจาก 12 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Miami)

  • อันดับที่ 3 Paris (ผู้คนจาก 10 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Paris)

  • อันดับที่ 4 New York (ผู้คนจาก 8 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ New York)

  • อันดับที่ 4 Madrid (ผู้คนจาก 8 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Madrid)

  • อันดับที่ 4 Singapore (ผู้คนจาก 8 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Singapore)

  • อันดับที่ 7 London (ผู้คนจาก 6 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ London)

  • อันดับที่ 7 Brussels (ผู้คนจาก 6 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Brussels)

  • อันดับที่ 9 Toronto (ผู้คนจาก 3 ประเทศอยากย้ายไปอยู่ Toronto)

  • อันดับที่ 10 Washington DC, Buenos Aires, Christchurch, Quebec City, Bogota, Portland, Vienna, Phoenix, Chicago (มีผู้คนจาก 2 ประเทศอยากย้ายไปอยู่)

“ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้คนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศเกิดของตนเพิ่มขึ้นสองเท่าจาก 153 ล้านคนเป็น 281 ล้านคน หรือประมาณ 4% ของประชากรโลก”






bottom of page